Digital Nomad คืออะไร ? เทรนด์การทำงานใหม่ที่น่าสนใจของโลกยุคปัจจุบัน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “Digital Nomad” ได้แพร่สะพัดไปไกลราวกับไฟป่า ไลฟ์สไตล์นี้ดึงดูดผู้คนให้ก้าวเข้ามาในวิถี และด้วยการแพร่ระบาดของ Covid – 19  ประเทศต่างๆ จึงค่อยๆ เปิดกว้างขึ้นสำหรับรูปแบบการทำงานที่สร้างสมดุลระหว่างอาชีพและชีวิตในโลกยุคดิจิตอล โดย“Nomad” ซึ่งแปลว่า “เร่ร่อน – ผจญภัย” คำว่า  “Digital Nomad” จึงถูกนำมาใช้เรียกกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตไม่ยึดติดอยู่กับที่ หาเลี้ยงชีพโดยทำงานออนไลน์ในสถานที่ต่างๆ และใช้เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตไร้สายในการทำงาน แทนที่จะนั่งประจำอยู่ที่ออฟฟิศ  และกำลังกลายเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในช่วงนี้

สำหรับหลายๆ คน Digital Nomad ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไกลเกินจริง แต่ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา บริษัทหลายแห่งหันมาใช้โมเดลการทำงานจากระยะไกล โดยอาศัยนวัตกรรมหลายอย่าง รวมถึงซอฟต์แวร์การจัดการเนื้อหา การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านไวไฟ สมาร์ทโฟน และวีโอไอพี เพื่อติดต่อกับลูกค้าและนายจ้าง นอกจากนี้การเติบโตของเศรษฐกิจแบบกิ๊ก (Gig Economy) หรือการทำงานแบบฟรีแลนซ์ก็มีบทบาทเช่นกัน  แม้จะเป็นเรื่องจริง แต่ไลฟ์สไตล์ Digital Nomad ยังมีอะไรอีกมากมายเกินกว่าจะอธิบายได้เพียงประโยคเดียว

เสน่ห์ของวิถี Digital Nomad คือความอิสระและความยืดหยุ่น สามารถควบคุมตารางการทำงานในแนวทางที่ตนเองเลือก และไม่ผูกพันกับกิจวัตรการทำงาน 9 ต่อ 5 แบบดั้งเดิม นั่นคือทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 9 ชั่วโมง เพราะมนุษย์ออฟฟิศ มีวันหยุดสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับรถติดในชั่วโมงเร่งด่วน และใช้ชีวิตอยู่กับห้องแคบๆ หลายคนจึงใฝ่ฝันที่จะได้ออกไปท่องโลกกว้างใหญ่ และมีสถานที่ที่น่าทึ่งมากมายให้สำรวจ แสวงหาประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร และนั่งทำงานที่ไหนก็ได้ที่ใจต้องการ และมีสัญญานไวไฟ ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจก็คือ 83% ของชาว Digital Nomad คือฟรีแลนซ์ รายได้ไม่แน่อนและขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ในขณะที่ 17% ได้รับการว่าจ้างให้ทำงานกับบริษัท ได้รับเงินเดือนที่แน่นอน มีเงินเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ

สิ่งสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้คือ จำนวนเงินที่ชาว Digital Nomad จะได้รับต่อเดือนนั้น ขึ้นอยู่กับจุดหมายปลายทางที่จะไปพำนัก แต่ละประเทศมีค่าครองชีพแตกต่างกัน การควบคุมงบประมาณเป็นสิ่งสำคัญ และอย่าคิดว่านี่เป็นแค่ความฝัน ปัจจุบันมีผู้ทำงานอิสระตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกมากมายเลยทีเดียว แต่เมื่อคุณจะก้าวกระโดดออกจากตารางชีวิตประจำวัน คุณต้องมีเป้าหมายว่าจะไปที่ไหน เมื่อใด และจะจัดสรรเวลาอย่างไร ความรับผิดชอบทั้งหมดนี้อาจทำได้ยาก แต่ก็ให้อิสรภาพอย่างมหาศาลเช่นกัน

ข้อดีของวิถี Digital Nomad

  • อิสรภาพที่แท้จริง สามารถเดินทางได้ตลอดเวลา และทำงานได้ทุกที่ ชีวิตมีความยืดหยุ่น และได้ออกแบบไลฟ์สไตล์ของคุณเอง
  • ได้สัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่น เข้าใจวัฒนธรรมที่แตกต่าง ได้พบปะผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก เปิดประสบการณ์ใหม่
  • มิตรภาพทั่วโลก การเดินทางทำให้คุณได้รู้จักผู้คนหลากหลาย บางคนอาจจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดไปตลอดชีวิตก็เป็นได้
  • รับแรงบันดาลใจ และสร้างสรรค์ไอเดียจากสภาพแวดล้อมใหม่ๆ และเปิดคอนเน็กชั่นใหม่ในธุรกิจมากขึ้น
  • กำหนดเวลาทำงานได้ด้วยตัวคุณเอง ช่วยให้มีเวลามากขึ้นและเครียดน้อยลง และได้ใช้ชีวิตตามที่คุณต้องการ
  • การทำงานที่ผ่อนคลายและมีความสุข ย่อมลดแรงกดดัน จะสนุกเติมเต็ม  และภาพของงานจะเต็มเปี่ยม
  • หลายประเทศในโลกค่าครองชีพต่ำ แต่ก็มีภูมิประเทศและธรรมชาติที่สวยงาม มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในทางอ้อม
  • ขณะเดินทาง คุณมีโอกาสมากมายที่จะได้เห็น และลองงานอดิเรกใหม่ๆ ซึ่งอาจจะเหมาะสำหรับคุณก็เป็นได้
  • เติบโตมากยิ่งขึ้น มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น พัฒนาบุคลิกภาพและความฉลาดทางอารมณ์ กลายเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีและสมบูรณ์ขึ้น
  • ได้ฝึกทักษะการเป็นผู้ประกอบการ ได้เรียนรู้วิธีจัดการเวลา สร้างนิสัยแห่งความสำเร็จ ทำการตลาดธุรกิจมราจะเติบโตในอนาคต
  • วิถีชีวิตที่ดีขึ้น  คุณจะทานอาหาร ออกกำลังกายตามที่คุณต้องการ และเปิดรับทัศนคติต่อชีวิตที่กว้างขึ้น

ข้อเสียของวิถี Digital Nomad 

  • ความเหงาและความโดดเดี่ยว รู้สึกถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เมื่อต้องอยู่ห่างจากครอบครัวและเพื่อนฝูง
  • ความเครียดจากการพยามยามค้นหาสถานที่ใหม่ๆ อยู่เสมอ ซื้อซิมการ์ดใหม่ ค้นหาที่พัก และสถานที่นั่งทำงานใหม่
  • ขาดความมั่นคง โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานฟรีแลนซ์ ไม่มีเงินเดือนที่แน่นอน ในขณะที่คนทำงานออฟฟิศจะมีรายได้ดี
  • ปัญหาใหญ่คือการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เพราะยังมีอีกหลายส่วนในโลกที่ Wi – Fi ไปไม่ถึง อาจทำให้งานเสร็จล่าช้ากว่ากำหนด
  • ที่พักราคาประหยัด การพักร่วมกับนักเดินทางคนอื่นๆ หรืออาหารรสไม่คุ้นชิน หรือแม้แต่ภาษาที่แตกต่าง คือสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกถึงความสะดวกสบายที่หายไป

5 อันดับสายอาชีพยอดนิยม

ชาว Digital Nomad บางคนพำนักอยู่ในพื้นที่หนึ่งๆ เป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปีก่อนจะย้ายไปที่ใหม่ บางคนเลือกที่จะเปลี่ยนเมืองหรือประเทศบ่อยๆ และทำงานในร้านกาแฟ ห้องสมุด พื้นที่ทำงานร่วม ห้องพักในโรงแรม ชายหาด หรือที่ใดก็ได้ที่มีสัญญานไวไฟ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณที่จะเลือกเส้นทางที่ต้องการ ได้ทำงานที่ให้คุณสนุกกับชีวิตได้เต็มที่ และนี่คือ 5 สายอาชีพที่ได้รับความนิยมสูงสุด

1. สายเทคโนโลยี

หนึ่งในสายอาชีพวิถี Digital Nomad ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากความรู้ความสามารถทางด้านไอทีเป็นที่ต้องการของทุกบริษัททุกองค์กร มีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น วิศวกรซอฟต์แวร์ นักพัฒนาเว็บไซต์ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ผู้ทดสอบ QA โปรแกรมเมอร์ และผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล ทุกอาชีพล้วนได้รับผลตอบแทนสูง และมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ผลที่ตามมาคือความเครียดและความเหนื่อยหน่าย วิถี Digital Nomad อาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ทำงานสายเทคโนโลยี

2. การออกแบบสื่อดิจิทัล

ผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะ ไม่ว่าอยู่ที่ไดบนโลกนี้ ก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่มีความผสมผสานระหว่างศิลปะและเทคโนโลยีได้  อาชีพในสายงานนี้แยกย่อยออกเป็น นักออกแบบกราฟิก นักออกแบบสิ่งพิมพ์ นักออกแบบแอนิเมชัน นักออกแบบบรรจุภัณฑ์ นักวางกลยุทธ์แบรนด์ วิดีโอโปรดิวเซอร์ การเดินทางบ่อยๆ จะช่วยเสริมสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานของคุณ นี่คือประโยขน์เต็มๆ จากวิถี Digital Nomad

3. การตลาดดิจิทัล  

อีกหนึ่งอาชีพที่ต้องการที่สุดแห่งศตวรรษ เป็นการวางกลยุทธการตลาดดิจิทัล ทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักติดอันดับต้นๆ ดึงดูดลูกค้าด้วยเนื้อหา และแพลตฟอร์มการค้นหา ในช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งแตกแขนงออกไปได้หลายทางมาก เช่น นักวางกลยุทธ์ SEO นักการตลาดโซเชียลมีเดีย ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัล คอนเทนต์ครีเอเตอร์ นักเขียนอิสระ นักออกแบบเว็บไซต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดผ่านอีเมล และนักวิเคราะห์ข้อมูล

 4. การศึกษาออนไลน์

ด้วยแพลตฟอร์มการเรียนรู้ร่วมสมัย และ ตัวเลือกการประชุมทางวิดีโอที่หลากหลาย ทำให้การเรียนออนไลน์กลายเป็นเรื่องง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว อาชีพยอดนิยมได้แก่ ผู้สร้างหลักสูตร และครูออนไลน์ ซึ่งมีหลากหลายหลักสูตรให้เรียนรู้และเพิ่มพูนทักษะ ทั้งภาษา โยคะ ศิลปะป้องกันตัว การทำสมาธิ ไลฟ์โค้ช หลักสูตรการตลาดต่างๆ

 5. การบริหารออนไลน์ 

ในยุคนี้ที่โลกโซเชียลกำลังเฟื่องฟู งานด้านบริหารจึงมีการเปลี่ยนแปลงเยอะมากเช่นกัน แม้อยู่นอกออฟฟิศก็ตอบอีเมล จัดตารางประชุม และทำงานธุรการต่างๆ ได้ง่ายๆ ขณะเพลิดเพลินกับสถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่ อาชีพที่น่าสนใจในสายนี้ได้แก่ ผู้ดูแลระบบออนไลน์ แอดมินเว็บไซต์ ผู้จัดการสำนักงาน

 

10 ประเทศน่าทำงานแบบ Work From Anywhere 

ข้อจำกัดในการพำนักอยู่ในประเทศใดๆ เป็นเวลานานๆ คือวันหมดอายุของวีซ่านักท่องเที่ยว อีกทั้งการต่ออายุวีซ่าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป

ปัจจุบันหลายประเทศมี “Digital Nomad Visa” ให้ชาว Digital Nomad ทำงานกันเพลินๆ ยาวๆ ไป เป็นการพลิกวิกฤตโควิด – 19 ให้กลายเป็นโอกาส สร้างรายได้สู่ประเทศอีกช่องทางหนึ่ง มาดูกันว่า ประเทศในฝันของชาว Digital Nomad คือ

1. ปราก – เช็ก 

จุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับต้นๆ ของชาว Digital Nomad คือ “ปราก” เมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็ก เนื่องจากค่าครองชีพที่เอื้อมถึง และความเร็วอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็ว มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามตระการตา และการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและเสน่ห์แบบดั้งเดิม ที่ทำให้ชีวิตในเมืองสวยงามมีชีวิตชีวา และมี coworking space ขนาดใหญ่ มากมายให้นั่งทำงาน Digital Nomad Visa ของปรากมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Zivnostenske Opravneni หรือเรียกง่ายๆ ว่า “Zivno” ซึ่งอนุญาตให้คุณทำงานได้นานถึงหนึ่งปี

2. บาหลี – อินโดนีเซีย

บาหลีเป็นหนึ่งในเมืองที่ราคาถูกมากๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เกาะสวรรค์ของอินโดนีเซียแห่งนี้มีทุกสิ่งที่ชาว Digital Nomad ต้องการ ทั้งแสงแดด อาหารเลิศรส ชายหาดที่สวยงามหลายแห่ง ทิวทัศน์อันน่าทึ่ง ผู้คนในท้องถิ่นที่เป็นมิตร อาหารอร่อย และเที่ยวบินราคาประหยัด มีร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่มากมายทั่วบาหลี โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างอูบุด ไวไฟลื่นไหลทั้งในโรงแรมและร้านอาหาร วีซ่า Digital Nomad ปัจจุบันเรียกว่า Second Home Visa มีอายุการใช้งานสูงสุด 5 ปี

3. เม็กซิโกซิตี้ – เม็กซิโก

ชาว Digital Nomad ที่มีงบจำกัด “เม็กซิโกซิตี้” เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม ด้วยมีค่าครองชีพที่ต่ำ มีอาหารที่น่าทึ่ง วัฒนธรรมอันยาวนาน ชายหาดที่สวยงาม  และสถานบันเทิงยามค่ำคืนสุดคึกคัก ผู้คนเป็นมิตร อาหารอร่อย มี coworking space มากมาย ท่ามกลางบรรยากาศเมืองใหญ่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้มากโข มีวีซ่าที่เรียกว่า Temporary Residence Visa ซึ่งให้อยู่ได้ 1 ปี และต่ออายุได้นั้นอีก 3 ปี

4. เชียงใหม่ ประเทศไทย

หนึ่งในจุดหมายปลายทาง Digital Nomad ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก คือ “เชียงใหม่” เมืองที่มีสิ่งต่างๆ  ให้เพลิดเพลิดไม่ว่าจะเป็นการผจญภัย ธรรมชาติ วัฒนธรรมท้องถิ่น อาหารพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์ ห้างสรรพสินค้า พิพิธภัณฑ์ ที่พักหลากสไตล์ ร้านกาแฟเก๋ๆ และพื้นที่ทำงานร่วม Smart  Visa ของไทยอนุญาตให้ทำงานได้นานถึง 4 ปี

5.โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

เมืองในฝัน “โคเปนเฮเกน” เป็นฮอตสปอตดิจิทัลที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของชาว Digital Nomad เมืองที่สวยงามน่าทึ่ง ผู้คนน่ารัก  มีตลาดคริสต์มาสเป็นไฮไลท์ในช่วงฤดูหนาว เมืองนี้ยังเป็นมิตรกับจักรยาน มีเลนจักรยานมากมายและระบบขนส่งมวลชนที่พัฒนาอย่างดี ให้คุณเพลิดเพลินกับวัฒนธรรมและธรรมชาติของเมือง มีอพาร์ทเมนต์ราคาไม่แรงให้เช่ากระจายอยู่ทั่วเมือง แถมยังมีสถานบันเทิงยามค่ำคืนหลายแห่งให้พักสมองในช่วงสุดสัปดาห์

 6. กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม

“ฮานอย” เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และยังคงมีชีวิตชีวาให้ค้นหา มีสิ่งต่างๆ มากมายให้เลือกสรร ตั้งแต่สถาปัตยกรรมเก่าแก่สมัยอาณานิคมฝรั่งเศส พิพิธภัณฑ์แห่งประวัติศาสตร์ ถนนที่คดเคี้ยวเต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์และร้านกาแฟริมทาง ไปจนถึงสถานบันเทิงยามค่ำคืน ซึ่งทุกแห่งมีอินเทอร์เน็ต ด้วยค่าครองชีพต่ำ และคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยม ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมายในเมือง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฮานอยกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของชาว Digital Nomad

7. อัมสเตอร์ดัม – เนเธอร์แลนด์

“อัมสเตอร์ดัม” อีกหนึ่งตัวเลือกยอดนิยมตามวิถี Digital Nomad ด้วยความที่เปิดกว้างต่อชาวต่างชาติ ทั้งในด้านวิถีชีวิตและคุณภาพชีวิต เป็นหนึ่งในประเทศที่อินเตอร์เน็ทเร็วที่สุดในยุโรป เมืองมากเสน่ห์แห่งนี้เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ วัฒนธรรมที่หลากหลาย ภูมิประเทศที่สวยงาม มีโฮสเทลสุดเก๋ ร้านกาแฟสุดเจ๋ง พร้อมพื้นที่ทำงานร่วมกว่า 75 แห่งในอัมสเตอร์ดัม และมีวีซ่าพำนักระยะยาวเหรือ MVV Visa สำหรับผู้ทำงานฟรีแลนซ์ อยู่ได้นาน 90 วัน

8. เรคยาวิก – ไอซ์แลนด์

“ ไอซ์แลนด์” ดินแดนแห่งไฟและน้ำแข็ง มีเมืองหลวงมากเสน่ห์ชื่อ “เรคยาวิก” เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก มีค่าครองชีพราคาแพง และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย คุณสมบัติในการขอวีซ่าพิเศษสำหรับชาว Digital Nomad จึงต้องมีรายได้สูงพอสมควร แต่ก็อยู่ได้นานถึง 180 วัน เพื่อสัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่น และปรากฏการณ์แสงเหนือที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในโลกทางธรรมชาติ สำรวจเส้นทางธรรมชาติวงกลมทองคำอันโด่งดัง ทั่วใจกลางเมืองเต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ บาร์และโรงแรมที่มีไวไฟให้ใช้ฟรี

 9. เอเธนส์ – กรีซ

กรีซมีเกาะที่สวยงามมากกว่า 6,000 เกาะ แต่ละเกาะมีวัฒนธรรมและภูมิทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ กรีซเป็นประเทศที่อยู่ทางใต้สุดของยุโรป และมีแนวชายฝั่งที่ยาวที่สุดในทวีปอีกด้วย เมืองสำคัญที่ชาว Digital Nomad นิยมมาปักหลักคือ “เอเธนส์” เมืองที่มีทิวทัศน์สวยงาม ผู้คนที่เป็นมิตร อาหารอร่อย และประวัติศาสตร์ที่ไม่ธรรมดา อากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี และเป็นหนึ่งในประเทศที่ค่าครองชีพถูกกว่าในยุโรป ที่สำคัญ Greece Digital Nomad Visa อยู่ได้นานถึง 2 ปี

10. บูดาเปสต์ – ฮังการี

“บูดาเปสต์” เมืองที่สวยงามแห่งนี้มีค่าครองชีพต่ำที่สุดในยุโรป เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง สะพานที่สวยงาม รวมถึงบาร์และร้านอาหารชั้นเลิศ มีวีซ่าสำหรับชาว Digital Nomad ที่เรียกว่า White Card Visa อยู่ได้นานถึง 1 ปี มี coworking space และร้านกาแฟมากมายพร้อมไวไฟฟรี

มีกิจกรรมดีๆ ให้ทำ ทั้งสำรวจพิพิธภัณฑ์และแกลลอรี เยี่ยมชมอาคารและปราสาทประวัติศาสตร์ ล่องเรือในแม่น้ำดานูบ และสำรวจตลาดคริสต์มาสในเดือนธันวาคม

แน่นอนว่า เมื่อคุณเลือกที่ก้าวเดินในเส้นทาง Digital Nomad นั่นหมายความว่าคุณได้ออกแบบชีวิตได้ตามที่คุณต้องการแล้ว ขอให้โชคดี!!!